สุขได้ด้วยศีล[1]
- โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถาพร วิชัยรัมย์
- สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
[………………………………………………………]
- สะอาดกาย ไร้ธุลี นีรทุกข์
- เจริญวัย ได้สุข ทุกสถาน
- สะอาดใจ ไร้ธุลี กิเลสมาร
- เจริญสุข ทุกกาล นั่นมงคล
[1] เป็นส่วนหนึ่งของบทบรรยายธรรมที่เข้าประกวดเนื่องในสัปดาห์วิสาขบูชาประจำปีพ.ศ.2546 แต่งโดย พระมหาสถาพร โสภณปญฺโญ (วิชัยรัมย์) วัดอนงคาราม กรุงเทพมหานคร
จากบทประพันธ์ของนักคิดทางศาสนาสะท้อนให้เห็นว่า ความสุขเราสามารถค้นพบและสัมผัสได้เพียงเราทำให้กายใจมีความสะอาดหมดจด ปราศจากความมัวหมองแห่งกิเลศตัณหานานาชนิดซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายพฤติกรรมมนุษย์พอสมควร เพราะสังคมมนุษย์ เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหานานาชนิด บ่อยครั้งที่เราจะเห็นภาพแห่งการทำร้ายเบียดเบียน ทุจริตมิจฉาชีพ หายนะอันเกิดจากตัณหาราคะกำหนัด ผู้คนปราศจากสัจจะจริงใจให้กัน เผาผลาญชีวิตตนด้วยยาเสพติดนานาชนิด จากสภาพความเป็นจริงดังกล่าวจะพบว่าชีวิตมนุษย์บางครั้งก็พบกับความสุขความเจริญ บางคราวก็เสื่อมโทรม สับสนเดือดร้อน “แสงอาทิตย์ยามเที่ยงย่อมให้ความร้อนแก่โลก แต่กระแสแห่งราคะ โทสะ โมหะ สาดส่องให้ใจมนุษย์ร้อนรนยิ่งกว่า…” โลกใบนี้จึงสับสนวุ่นวายกระจัดกระจายไปตามพลังแห่งความทะยานอยากของแต่ละคน ผู้คนขาดศีลเป็นเครื่องรักษา จึงเสาะแสวง ค้นหา สิ่งปรารถนามาเป็นหลักประกันความสุขของตน
มนุษย์ เลือกเกิดเองไม่ได้ แต่เลือกที่จะหามุมมืดหรือมุมสว่างให้กับชีวิตได้ การสร้างความดีให้กับชีวิตคือมุมสว่างที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต ให้หยั่งฝังลึกอยู่ในใจอย่างมั่นคง มีคำเปรียบเปรยไว้ว่าข้าวน้ำคืออาหารกาย ธรรมะคืออาหารใจ หลักประกันความสุขในชีวิตตนคือศีล วินัยควบคุมทหารให้เป็นหมวดหมู่ที่สวยงามไม่วุ่นวาย ฉันใด ศีล 5 ก็เป็นวินัยของชาวโลก ควบคุมพลเมืองโลกให้มีความเป็นอยู่สงบเรียบร้อยไม่สับสนวุ่นวาย ฉันนั้น จงชำระมลทินทางกายวาจาด้วยศีล เพราะศีลจะเป็นฐานรองรับคุณธรรมที่สูงขึ้นไป ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเครื่องประดับภายในอย่างประเสริฐ ก่อให้เกิดความนิยมแก่สมาคมแก่ทุกชนชั้น เป็นมิ่งขวัญสำหรับผู้รักษา ทำให้งามสง่าสงบเย็นในทุกสมัย เป็นเครื่องจัดระเบียบโลกให้พ้นภัย ขจัดความทุกข์ทนวุ่นวายของเพื่อนมนุษย์ เป็นความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา 5 ประการ อันเป็นพื้นฐานของชีวิต เรียกว่า เบญจศีล มีดังนี้
- ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์ อาฆาตพยาบาทเบียดเบียดกัน ในบรรดาความอยาก ความอยากมีชีวิตถือว่าเป็นยอดสูงสุด ในบรรดาการสูญเสีย การเสียชีวิตถือว่าเสียหายมากที่สุด ในบรรดาโทษทัณฑ์ในโลกนี้ ไม่มีโทษใดจะร้ายแรงไปกว่าโทษประหารชีวิต การมีชีวิตคือการมีโอกาสได้ทุกสิ่งทุกอย่าง การสิ้นชีวิตคือการสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ในบรรดาคนที่โลกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้าย ผู้ที่เป็นผู้ร้ายคือผู้ร้ายฆ่าคน ผลแห่งความโหดร้ายทำลายชีวิต ทำให้อายุสั้น ต้องชำระโทสะด้วยธรรมะคือเมตตากรุณา ช่วยเหลือเอื้ออาทรกันและกัน เพราะในบรรดาการช่วยเหลือผู้อื่น ไม่มีการช่วยเหลือใดจะยิ่งใหญ่กว่าการช่วยเหลือให้เขามีชีวิตรอด และต่อยอดเสริมส่งให้เขามีความสุข
- อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์ ดำเนินชีวิตด้วยการไม่เบียดเบียนทรัพย์สิน และละเมิดกรรมสิทธ์ของผู้อื่น ผู้ขโมยทรัพย์ของผู้อื่นแม้จะได้ทรัพย์มา แต่ก็เป็นฝ่ายสูญเสียประโยชน์ คือ เสียมนุษยธรรมในใจตนเอง เสียสุขภาพจิตอันดี และบ่ายหน้าไปสู่ความสูญเสียศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในที่สุด ปัญญาคือธรรมชาติติดตัวมนุษย์แต่มนุษย์ไม่ใช้ปัญญาหาเลี้ยงชีพ ประดุจคนมีตาแต่ไม่ลืมตา คอยแต่ให้คนอื่นชักจูง คนมีขาแต่คอยจะให้คนอื่นอุ้ม จะมีค่าให้น่าชื่นชมได้อย่างไร จงใช้สันโดษขจัดความโลภ ใช้ปัญญาขจัดความหลง ประกอบสัมมาอาชีวะ มีอาชีพสุจริตยุติธรรม พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นภูมิใจในสิ่งที่ตนเองมี
- กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ความรักเป็นเครื่องยึดโยงให้เกิดความผูกพันเป็นที่สุด แต่ศาสตราที่คอยบั่นความรักให้ขาดสะบั้น คือการนอกใจ การนอกใจในคู่ครองของตนจึงเป็นอาวุธทำลายความไว้วางใจในครอบครัว เพื่อเป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่น ปลูกความสามัคคี ป้องกันการแตกร้าวในหมู่มนุษย์ จงยินดีในคู่ครองของตน ระวังตนไม่ให้ถูกความใคร่ครอบงำ เปลี่ยนจากความใคร่ในกามเป็นใคร่ในธรรม ดังพุทธภาษิตที่ว่า ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ผู้ใคร่ในธรรม คือผู้เจริญ
- มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ คำหยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ หากเราสามารถโกหกคนได้หลายคน แต่เรามิอาจโกหกตนเองได้ คนพูดเท็จ คือคนทำลายสัจจธรรม ผู้ทำลายสัจธรรม ย่อมเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ควรพูดแต่คำจริงและไพเราะอ่อนหวาน ก่อประสานประโยชน์แก่ทุกหมู่เหล่า น้ำเพ็ชรย่อมส่งผลให้เพ็ชรงดงามฉันใด น้ำคำย่อมส่งผลให้ผู้พูดงดงามฉันนั้น
- สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการการดื่มสุรา สิ่งมึนเมา และยาเสพติดทุกชนิด สงครามดับชีวิต ยาเสพติดดับอนาคต น้ำเมาทำให้คนประมาทขาดสติ ขาดการเฝ้าดูตนเอง หลงลืมหน้าที่ที่ตนมี ความดีที่ตนควรกระทำ เป็นการเปิดโอกาสให้ชีวิตได้ใกล้ชิดกับความพลั้งพลาด โอกาสแห่งภัยพิบัติย่อมตามมาอย่างแน่นอน ร่างกายของเรานี้ ถ้าชักจิตออกแล้ว ก็หมดความสำคัญ แต่จิตนั้น ถ้าชักสติออกแล้วก็หมดความหมาย พระพุทธองค์ทรงสอนให้จิตกับสติควบคู่กันไป จึงจะบำเพ็ญเพียรให้บรรลุมรรคผลได้ น้ำเมาคือตัวการทำลายสติและสมรรถภาพทางจิตให้เสื่อมลงไป ควรใช้สติสัมปชัญญะพิจารณาตนเอง เพื่อกำจัดโลภะ โทสะ โมหะ ให้หมดไป
สาธุชนทุกท่านครับ มนุษย์โลกเดือดร้อนเพราะคนขาดศีล เรามาขจัดความเดือดร้อน ฝึกฝนตนรักษาศีล ชำระมลทินทาง กาย วาจาให้เป็นปกติกันเถอะนะครับ เพราะการรักษาความปกติของตน เป็นความดีอยู่ในตัว การที่เราอยู่ในความปกติ ก็เท่ากับเราอยู่ในความดีนั่นเอง ในบรรดาความสุขทั้งหลาย ไม่มีความสุขอื่นใดจะยิ่งกว่าความสงบ ผู้รักษาศีลเป็นผู้สร้างความสงบให้กับตนเอง ให้กับบ้าน ประเทศชาติ ตลอดจนให้กับโลก ไม่มีความเย็นใด จะเย็นเทียบเท่าความเย็นแห่งผู้มีศีล ไม่มีกลิ่นใด จะส่งพลังหอมหวนทวนลมและตามลมได้ เท่ากลิ่นแห่งศีล ไม่มีอาภรณ์ใดจะทำให้บุคคลงามสง่าได้เท่ากับอาภรณ์คือศีล ไม่มีบันใดก้ามก้ามใดจะสูงส่งเท่ากับบันใดแห่งศีล เพราะศีลคือบันใดที่ยังผู้ปฏิบัติให้ก้าวข้ามสู่สวรรค์และก้าวข้ามสู่ประตูแห่งนิพพานในที่สุด เพราะฉะนั้นพึงชำระศีลให้บริสุทธิ์หมดจด เพื่อเป็นบันไดไปสู่ความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ผู้รักษาตลอดไป
- บทความเพิ่มเติม จริยธรรมสำหรับนักบริหาร
- https://pa.bru.ac.th/2021/08/15/ethics01/